วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ประกันออมทรัพย์ ผลตอบแทน 221% มีจริงหรือ?

ขอเขียนนอกเรื่องธุรกิจออนไลน์เสียหน่อย เป็นเรื่องที่ผมอยากให้ทุกคนได้รู้เวลาที่มีตัวแทนประกันมาขายประกันแบบออมทรัพย์ให้คุณ

ผมทำประกันครั้งแรกตอนปี 2545 มีตัวแทนประกันจากบริษัทแห่งหนึ่งโทรเข้ามาที่ออฟฟิศ แล้วเพื่อนที่ออฟฟิศเป็นคนรับสาย ปลายสายบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารแห่งหนึ่ง (ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทประกันแห่งนี้) แจ้งว่าจะขอเข้ามาแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้แก่พนักงานในบริษัท เพื่อนผมก็รับปากให้เข้ามา พอมาถึงออฟฟิศก็มีเพื่อนหลายคนเข้าฟังในห้องประชุมด้วยกัน ซึ่งรวมถึงผมด้วย ตัวแทนเปิดการขายด้วยการแนะนำแพ็กเกจออมเงินสุดคุ้มค่าที่ผู้ออมจะได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วย มีการพูดถึงตัวเลขเยอะแยะมากมาย ผมฟังแล้วก็มึนไปหมดเพราะตอนนั้นยังไม่มีความรู้ด้านการเงิน แต่สุดท้ายก็ลองทำดูเพราะยังไม่เคยทำประกันมาก่อน อีกใจหนึ่งก็อยากเอาเบี้ยประกันไปช่วยลดหย่อนภาษีด้วย ผมจ่ายเบี้ยไปประมาณหนึ่งปี ตัวแทนที่ดูแลผมก็ลาออกจากการเป็นตัวแทน แม่ทีมของตัวแทนคนนั้นมาเป็นคนดูแล (เฉพาะตอนเรียกเก็บเบี้ย) ผมต่อ

จนในปี 2549 ก็มีตัวแทนประกันอีกคนจากบริษัทเดิมโทรมา ผมปฏิเสธไปว่ามีกรมธรรม์อยู่แล้ว แต่ตัวแทนก็ไม่ลดละความพยายาม เกลี้ยกล่อมผมว่าน่าจะลองมีอีกสักฉบับดู เพราะกรมธรรม์นี้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 221% ผมเลยขอให้ช่วยส่งเอกสารรายละเอียดมาให้ผมดูหน่อย มาคราวนี้ผมมีความรู้ด้านการเงินแล้ว ก็เลยลงมือคำนวณดูว่าผลตอบแทน 221% จริงหรือเปล่า

เอกสารที่ตัวแทนส่งมาให้ แจ้งว่าทุนประกันมีมูลค่า 150,000 บาท ชำระเบี้ยเดือนละ 3,181.20 บาท หรือตกวันละร้อยบาทนิดๆ เท่านั้น ชำระเพียง 7 ปี แต่อายุกรมธรรม์ยาวนานถึง 15 ปี มีการจ่ายเงินคืนให้ทุก 2 ปี จนกว่าจะหมดอายุกรมธรรม์

Insurance Payoff

นี่คือตารางที่ผมทำสรุปออกมาจากเอกสารที่ตัวแทนส่งมาให้ ช่อง Cash Out ก็คือเงินที่ไหลออกจากกระเป๋าผม ผมต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเดือนละ 3,181.20 บาท หรือปีละ 38,174.40 บาท เป็นเวลา 7 ปี โดยที่ผมจะได้รับเงินคืนทุก 2 ปี โดยในปีที่ 2, 4, 6 จะได้รับคืน 6% ของทุนประกัน (150,000 x 6% = 9,000 บาท) ปีที่ 8, 10, 12 ได้รับคืน 7% (10,500 บาท) ปีที่ 14 ได้รับคืน 12% (18,000 บาท) และเมื่อหมดอายุกรมธรรม์ จะได้รับคืน 170% (255,000 บาท)

ในเอกสารแจ้งว่า ทุนประกันของผมเพียง 150,000 บาท แต่ผมจะได้รับเงินคืนรวมกันแล้วสูงถึง 331,500 บาท คิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 221% (331,500 / 150,000 x 100%)

ไม่น่าเชื่อว่าเอกสารจะโกหกผมโต้งๆ แบบนี้เลย รู้หรือยังครับว่าโกหกอย่างไร? ลองใช้เวลานั่งคิดดูสักหน่อยแล้วค่อยอ่านต่อครับ

หลังจากผมได้รับเอกสารแล้ว ตัวแทนก็โทรกลับมาพูดคุย ผมบอกไปว่าเอกสารที่ส่งมามันไม่ถูกต้องนะ ตัวเลขมันผิดความจริงไปเยอะมาก ผมอธิบายให้ฟัง แต่ดูเหมือนตัวแทนจะไม่ค่อยเข้าใจ เป็นไปได้ว่าตัวแทนคงไม่ได้ทำเอกสารนี้เอง อาจจะเป็นเอกสารของแม่ทีม หรืออาจจะเป็นของบริษัทเลย แล้วตัวแทนก็ฟังแม่ทีมหรือบริษัทมาอีกทีโดยที่มองไม่เห็นจุดผิดพลาด

วิธีการคิดผลตอบแทนที่เอาทุนประกัน 150,000 บาทมาเป็นตัวฐานนั้นไม่ถูกต้องครับ เพราะผมไม่ได้จ่ายเงินออกไปแค่ 150,000 บาท แต่ผมต้องจ่ายถึง 267,220.80 บาท (38,174.40 x 7 ปี) ถ้าจะคิดผลตอบแทนด้วยวิธีนี้ จะต้องใช้ตัวเลข 267,220.80 บาทเป็นตัวฐาน คิดออกมาได้ 124% (331,500 / 267,220.80 x 100%) แต่นี่เรายังไม่ได้หักเงินต้นคืนนะครับ ถ้าหักเงินต้นออกมาแล้วก็จะเหลือกำไรเพียง 24% เท่านั้น และเป็น 24% ที่จะได้รับครบถ้วนก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปแล้วถึง 15 ปี อยากบอกว่าผมถือหุ้นเพียงปีเดียวก็ได้ผลตอบแทนเกือบ 100% แล้ว

วิธีคิดผลตอบแทนแบบนี้ก็ยังไม่ค่อยละเอียดมาก เพราะตัวเลขที่ผมอยากรู้ก็คือผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่นได้ เช่น การฝากธนาคาร หรือการซื้อพันธบัตร ที่ระบุตัวเลขผลตอบแทนต่อปีให้ประชาชนทราบ

ผมทำตัวเลขเพิ่มเติมจากเอกสารที่ตัวแทนส่งมาให้ โดยหาตัวเลขเงินรับ(หรือจ่าย)สุทธิในแต่ละปี ด้วยการเอาเงินรับในแต่ละปีลบออกด้วยเงินจ่ายในปีนั้นๆ สูตรง่ายๆ ครับ คิดเหมือนกับการคำนวณหากำไรด้วยการเอารายรับลบออกด้วยรายจ่าย

Insurance Internal Rate of Return

เมื่อได้ตัวเลขเงินรับ(หรือจ่าย)สุทธิในแต่ละปีแล้ว เราก็ใช้ Excel ใส่สูตร =IRR(เงินสุทธิปีที่ 1...เงินสุทธิปีที่ 15) ซึ่งสูตรนี้เรียกว่า Internal Rate of Return ใช้สำหรับหาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อช่วงเวลาหนึ่ง ในที่นี้จะเห็นได้ว่าคำนวณออกมาได้เพียง 2.30% ต่อปี

ในช่วงนั้น ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างแข่งขันกันให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะสั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ธนาคารหนึ่งให้ 5% อีกไม่กี่วันต่อมาธนาคารอีกแห่งจะให้ 5.25% เรียกได้ว่าผู้เกษียณอายุที่มีเงินก้อนที่ไม่รู้จะนำไปลงทุนอะไร ต่างก็แห่ไปเปิดบัญชีแล้วย้ายเงินข้ามธนาคารกันให้วุ่น

แล้วทำไมผมจะต้องเอาเงินไปจมไว้กับประกันออมทรัพย์ด้วยล่ะ? ผลตอบแทนเพียง 2.30% ยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในหลายๆ ปีที่ผ่านมาเลย เอาเงินไปฝากประจำยังดีกว่าอีก ตัวแทนตอบผมว่าประกันออมทรัพย์มีความคุ้มครองให้ด้วย กรณีที่เสียชีวิต ผู้ที่อยู่ข้างหลังก็จะได้รับเงินชดเชย

จริงๆ แล้วเราสามารถคำนวณได้ด้วยว่าเราควรจะมีโอกาสเสียชีวิตในช่วง 15 ปีของอายุกรมธรรม์มากน้อยแค่ไหนถึงจะคุ้มที่จะทำประกัน ผมคำนวณออกมาแล้วปรากฎว่าผมต้องมีโอกาสเสียชีวิตสูงมากกว่า 50% ถึงจะคุ้ม แปลว่าถ้าผมออกนอกบ้าน 2 วัน จะต้องมีอย่างน้อย 1 วันที่ผมมีโอกาสถูกรถชนตาย ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก

แต่สุดท้ายแล้วผมก็ทำประกันกับตัวแทนคนนี้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ผมนำตัวเลขผลตอบแทนไปเปรียบเทียบกับกรมธรรม์ฉบับเก่า ปรากฎว่าฉบับเก่าให้ผลตอบแทนไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ ผมเลยยกเลิกฉบับเก่าเพื่อ cut loss ค่าเสียโอกาส แล้วเปลี่ยนมาทำฉบับใหม่แทน อีกเหตุผลก็คือเงินเดือนผมสูงขึ้น ผมต้องการจ่ายเบี้ยสูงขึ้นเพื่อจะได้ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น และเหตุผลสุดท้ายก็คือผมรู้สึกว่าควรจะมีประกันแบบนี้ไว้ใช้เป็นยันต์กันผี เวลามีตัวแทนคนอื่นมาเสนอขายจะได้บอกว่า "ผมมีประกันอยู่แล้วครับ"

8 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ว่าไงคร๊าบลูกพี่บอย
ประกันก็แบบนี้แหละ มักจะมีไรหมกเม็ดเสมอ
หากลองเปลี่ยนวิธีคิดโดยใช้แบบ NPV
อาจจะพบว่า NPV ติดลบเลยก็ได้

Unknown กล่าวว่า...

เสี่ยจุ้นมาได้ไงเนี่ย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แอบอ่านมาได้ 2-3 บทความ ชอบบทความนี้มาก...มันโดนใจครับ...ว่างๆก็เขียน
เรื่องพันธุ์นี้อีกนะครับ(เรื่องเงินๆทอง) จะคอยติดตาม
อ่าน

ว่าแต่ อยากจะขออนุญาตินำเอาบทความนี้ไปแปะไว้ที่เว็บ
ผมบ้างได้มั้ยจะทำตามกฏ..ให้เครดิตและลิงค์กลับมา.
.ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ยินดีให้นำไปเผยแพร่ในเว็บครับ ช่วยแจ้งกลับมาด้วยนะครับว่าลงไว้ที่เว็บไหน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เอาไปเผยแพร่ใน www.pcm25.co.nr
เป็นเว็บรุ่นครับ...ขอบคุณมากครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ปกติก็เข้ามาแอบอ่านอยู่บ่อยๆแหละ
แต่เพิ่งจะเข้ามาแสดงความคิดเห็น
เป็น Blog ที่เยี่ยมมากๆ
เอาไว้จะเข้ามาทักทายเรื่อยๆล่ะกัน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่า จริงครับ พวกประกันพวกนี้ เอาแต่จำนวนเงินที่ได้ในปีนั้นๆมาคิดโดยไม่ได้คิด Time Value of Money เข้าไปด้วยเลย เค้าคำนวณโดยไม่รวมเอา อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้เงินจำนวนเดียวกันที่ได้ในอนาคต มีค่าน้อยลงเมื่อเทียบกับเงินจำนวนเดียวกันในปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้ผมเคยถามตัวแทนประกันไปเค้าก็ให้คำตอบผมไม่ได้ ผมเลยยังไม่ได้ทำประกันเลยครับเนี่ย T-T

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ซื้อประกันเอากำไรกันเหรอครับ......

ผมซื้อเพื่อ ประกันความสบายใจในอนาคตผม และของคนที่บ้าน มันเป็นเงินคนละก้อนกับเงินที่เอาไปลงทุนอยู่แล้ว... ในวันหนึ่งๆ คนเรายอมเสียเงินแลกกับความสบายใจที่ตอบแทนเป็นสิ่งของไม่ได้มากกว่านี้อีกนะครับ