วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

Technology Convergence การบรรจบกันของเทคโนโลยี ทำให้เกิดธุรกิจใหม่เสมอ

หลายคนมักจะคิดว่าการคิดค้นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจต่างๆ ถูกจับจองไปหมดแล้ว ความคิดนี้อาจจะถูกเพียงครึ่งเดียว ถึงแม้ว่าธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ จะมีคู่แข่งขันอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังมีโอกาสธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเกิดขึ้นมาได้เพราะเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น

ย้อนกลับไปในปี 2000 ยุคที่โปรแกรมแชร์ไฟล์เพลง Napster กำลังโด่งดัง ในยุคนั้น โลกของธุรกิจเพลงถูกครอบงำโดยค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เพียง 5 ค่าย ซึ่งกินส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากกว่า 80% และมีธุรกิจที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การผลิตเพลงจนถึงการจัดจำหน่าย เป็นเรื่องยากมากที่คู่แข่งจะแทรกตัวเข้าไปได้

แต่เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่งได้พัฒนาโปรแกรม Napster ขึ้น ยักษ์ใหญ่ก็ถูกเขย่าบัลลังก์ นักศึกษาคนนี้คงจะไปทำร้ายค่ายเพลงไม่ได้ถ้าโลกนี้ปราศจากเทคโนโลยี MP3, CD Ripper และ P2P

เทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์เพลง MP3 ถูกพัฒนาขึ้นโดย MPEG องค์กรภายใต้ ISO ผู้กำหนดมาตรฐานสินค้าหลายๆ อย่างบนโลกนี้ MP3 ช่วยให้ไฟล์เพลงความยาว 5 นาที ที่มีขนาดมากกว่า 50 MB หดเล็กลงเหลือเพียง 5 MB ง่ายที่จะ copy ให้คนอื่น รวมถึงการส่งต่อให้เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต

CD Ripper คือโปรแกรมที่แปลงเพลงในแผ่นซีดีให้เป็นไฟล์เพลง MP3 ซอฟท์แวร์ CD Ripper มีให้เลือกดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ต่างๆ ใครๆ ก็สามารถแปลงซีดีให้เป็นไฟล์ MP3 และส่งต่อให้ใครก็ได้โดยที่ไม่ต้องเอาแผ่นซีดีให้

ส่วน P2P คือเทคโนโลยีการแบ่งไฟล์ขนาดใหญ่ให้เป็นข้อมูลเล็กๆ แล้วส่งต่อให้คนอื่นที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์กลาง เนื่องจากทุกคนเป็นเซิร์ฟเวอร์ เทคโนโลยีนี้ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันสองคน สามารถแบ่งปันไฟล์เพลงกันได้

ลองนึกภาพว่าคนทั้งโลกนี้ มีคนซื้อซีดีเพลงอัลบั้มใหม่เพียงคนเดียว จากนั้นเขาใช้ CD Ripper เพื่อแปลงเพลงในแผ่นซีดีให้เป็นไฟล์ MP3 แล้วแชร์ไฟล์เพลงนั้นผ่านเครือข่าย P2P แบบนี้ค่ายเพลงก็จะขายซีดีได้เพียงแผ่นเดียว ขณะที่ต้นทุนการผลิตอัลบั้มนั้นสูงมาก

จะเห็นได้ว่าทั้งสามเทคโนโลยีที่มาบรรจบกัน ช่วยสร้างโมเดลธุรกิจใหม่อย่าง Napster ขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว Napster จะถูกศาลตัดสินให้ระงับการให้บริการ แต่ Napster ก็สามารถเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปเป็นการขายเพลงแบบสมาชิกรายเดือนได้ กลายเป็นคู่แข่งของแผงเทปไป

อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ YouTube เว็บไซต์นี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเว็บถูกสร้างขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในยุคที่รูปแบบไฟล์วิดีโอมีทั้งค่าย Real, Windows Media, Quicktime และอื่นๆ อีกมาก โดยที่ Flash ยังไม่แพร่หลาย ในยุคที่กล้องถ่ายวิดีโอมีราคาแพง และยังไม่มีโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายวิดีโอได้ และในยุคที่ผู้คนยังใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำอยู่

ถ้าไม่มี Flash เราก็คงต้องติดตั้งโปรแกรม Movie Player ของทุกค่ายเพื่อจะได้ดูวิดีโอได้ทุกรูปแบบ

ถ้ากล้องวิดีโอมีราคาแพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะหาซื้อใช้ได้ หรือถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือความสามารถสูงที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ ก็คงจะหาคลิปวิดีโอดีๆ ให้ดูได้ยาก

และถ้าคนส่วนใหญ่ยังใช้อินเทอร์เน็ต 56 k อยู่ คงไม่มีใครอยากเสียเวลาโหลดวิดีโอคลิปดู

แต่เมื่อเทคโนโลยีทุกอย่างพร้อม เว็บอย่าง YouTube ก็เกิดขึ้นมา และโด่งดังเป็นพลุแตก จนถูก Google ซื้อไปด้วยราคาสูงลิ่ว

ทั้งกรณีของ Napster และ YouTube ต่างก็มีจุดที่เหมือนกันสองจุด จุดแรกคือการเกิดขึ้นของมาตรฐานที่ผู้คนนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย Napster ได้ประโยชน์จากมาตรฐาน MP3 ขณะที่ YouTube ได้ประโยชน์จาก Flash ที่กลายเป็นมาตรฐานด้านมัลติมีเดียบนเว็บ จุดที่สองคือการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยต่อการติดต่อเพื่อรับส่งข้อมูลกัน Napster มีเทคโนโลยี P2P ที่ช่วยให้ไฟล์เพลง Mp3 กระจายถึงกันได้โดยง่าย YouTube มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่กำจัดอุปสรรคได้การโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

ถ้าหากเราจะลองพยากรณ์รูปแบบธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยพิจารณาจากเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นบ้างล่ะ?

ถ้าโทรศัพท์มือถือสามารถเปิดเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย สามารถเปิดดูโปรแกรมแผนที่ได้ ธุรกิจอะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต Wi-fi ตามสถานที่ต่างๆ หันมาใช้ระบบเดียวกัน ผู้ใช้สามารถซื้อ access pass ครั้งเดียวแล้วใช้อินเทอร์เน็ตที่ไหนก็ได้ ธุรกิจอะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าเครื่อง E-book Reader ที่มีน้ำหนักเบา ม้วนได้ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ธุรกิจอะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าความเร็วของอินเทอร์เน็ตก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น สามารถโหลดรายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์เรื่องยาวมาดูได้แบบภาพคมชัด เสียงกระหึ่มเหมือนดูในโรง ธุรกิจอะไรจะเกิดขึ้น?

ใครที่ก้าวตามเทคโนโลยี และคอยปรับตัวตามอยู่เสมอ ย่อมคว้าโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ได้ก่อนคนอื่น และได้รับสิทธิ์ที่จะเป็นมหาเศรษฐีในยุคไฮเทคได้ก่อนคนอื่นด้วย

แต่ใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจอยู่แล้ว ถ้าหากนิ่งเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ไม่ปรับตัวตามโลกที่พัฒนามากขึ้น ก็อาจจะได้รับความเสียหายและอาจจะล้มหายตายจากไปในที่สุดได้

อย่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ต่อต้านกระแสลมจนโค่นล้มลง อย่าเป็นต้นไผ่ที่ลู่ตามลมแต่แคระแกรน จงเป็นดอกหญ้าที่ถูกลมพัดปลิวไปตกในดินอุดมสมบูรณ์ แล้วงอกขึ้นเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีได้

1 ความคิดเห็น:

badzboy กล่าวว่า...

คมเชียวครับ